รีวิว Biohackers ซีรีส์วัยรุ่น Netflix ที่ไม่เล่นดราม่าชีวิต แต่โฟกัสไปที่การเจาะระบบพันธุกรรม

รีวิว Biohackers ซีรีส์วัยรุ่น Netflix ที่ไม่เล่นดราม่าชีวิต แต่โฟกัสไปที่การเจาะระบบพันธุกรรม

Biohackers

รีวิวนี้ไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญใดๆ ของเรื่อง

ซีรีส์วัยรุ่นที่มีเรื่องราวล้ำยุคด้านชีววิทยาเป็นแกนของเรื่องที่นับว่าแปลกใหม่หลายอย่าง โดยแกนเรื่องคือ “มีอา” นางเอกของเรื่องที่เป็นนักเรียนแพทย์หัวดีที่มีแฝงตัวเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของเยอรมัน เพื่อเจาะลึกเข้าวงในการทำงานของ “ดร.ลอเรนซ์” ศาสตราจารย์สาวผู้บริหารมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ไปพร้อมทำการทดลองลับๆ ส่วนตัว ซึ่งมีส่วนเกี่ยวพันถึงการตายของครอบครัวมีอาในอดีตสมัยที่เธอยังเด็ก ซึ่งเธอรอดมาได้เพียงคนเดียว และกลับมาตามหาหลักฐานเอาผิด “ดร.ลอเรนซ์” ให้ได้

รีวิว Biohackers ซีรีส์วัยรุ่น Netflix ที่ไม่เล่นดราม่าชีวิต แต่โฟกัสไปที่การเจาะระบบพันธุกรรม 1

ตัวเรื่องนำเสนอสิ่งล้ำในแวดวงชีววิทยาที่แปลกตาตลอดทั้งเรื่อง โดยมีทั้งสัตว์ที่ถูกตัดต่อยีนส์ใหม่ๆ เข้าไปในร่างกายเพื่อใช้เป็นอาหารแบบใหม่ ยารักษาโรคที่ไม่มีมาก่อน หรือแม้แต่ชีวะอาวุธในรูปแบบแมลงที่สามารถส่งไวรัสที่ต้องการเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ ซึ่งทุกอย่างในเรื่องนี้อิงกับพื้นฐานชีววิทยาสมัยใหม่ที่เป็นจริงได้ ไม่ใช่เรื่องโม้โอเวอร์ขึ้นมาโดยปราศจากข้อมูลจริงในปัจจุบัน ทำให้ตัวเรื่องเป็นซีรีส์วัยรุ่นนักศึกษามหาวิทยาลัยผสมไซไฟในแบบกึ่งสมจริง ตัวละครในเรื่องจึงมีบทพูดที่ใช้ศัพท์วิทยาศาสตร์ทางด้านไบโอชีวภาพและการแพทย์สมัยใหม่เข้ามาตลอดเวลา แม้ว่าคนดูจะตามศัพท์พวกนี้ไม่ทัน แต่ก็ไม่ถึงกับมึนงงอะไร เพราะเรื่องไม่ได้เล่าแบบตั้งใจให้ลึก เพียงแค่หยิบศัพท์วิชาด้านนี้มาใช้ประกอบของเหตุการณ์ต่างๆ ที่นางเอกเจอและต้องแก้ปัญหาด้วยความสามารถของเธอและเพื่อนๆ เท่านั้น

รีวิว Biohackers ซีรีส์วัยรุ่น Netflix ที่ไม่เล่นดราม่าชีวิต แต่โฟกัสไปที่การเจาะระบบพันธุกรรม 2

เนื้อเรื่องเน้นไปที่การเจาะระบบเข้าไปหาหลักฐานในแล็ปของ “ดร.ลอเรนซ์” ที่ถูกวางตัวเป็นตัวร้ายของเรื่องในแบบนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ในขณะที่เบื้องหลังทำการทดลองวิจัยผิดศีลธรรมให้ได้มาซึ่งความต้องการของตัวเอง แม้ว่าจะอ้างความชอบธรรมว่าทำไปเพื่อช่วยผู้คนบนโลก ซึ่งตัวนางเอกจะถูกวางตัวเป็นทั้งแฮ็กเกอร์และสายลับแฝงตัว ที่ทำทุกวิถีทางเพื่อเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ของ ดร.ลอเรนซ์ หาหลักฐานเชื่อมโยงไปยังเหตุการณ์ในอดีต ที่เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับอุบัติเหตุร้ายแรงที่ทำให้เธอเสียพ่อกับแม่ไป รวมถึงพี่ชายฝาแฝดที่ป่วยเป็นโรคร้ายแบบปริศนาตั้งแต่เด็ก ซึ่งตัวเรื่องจะตัดฉากแฟลชแบ็คกลับมาเป็นระยะๆ และยังเริ่มเรื่องด้วยการแฟลชแบ็คเหตุการณ์กลับไป 2 สัปดาห์ก่อน หลังจากที่เปิดเรื่องมาเป็นเหตุการณ์ก่อการร้ายทางชีวภาพแบบไม่ทันตั้งตัวในรถไฟที่เธอโดยสาร ทิ้งเป็นปริศนาน่าติดตามไว้ตั้งแต่ตอนต้นเรื่องเลยว่าสิ่งนี้คืออะไร?

แต่เรื่องก็ไม่ได้ให้นางเอกฉายเดี่ยวหรือเก่งเกินไป ในเรื่องเธอยังต้องพึ่งพาทีมที่มาจากการรวมตัวของเพื่อนร่วมหอพักที่เก่งในสาขาอื่นที่เธอไม่ถนัด อย่างการผสมยา ทำวัคซีนแก้ฉับพลัน ซึ่งถูกใช้เป็นปมปัญหาเฉพาะหน้าของเรื่องในหลายครั้ง ที่นางเอกไม่สามารถแก้ปัญหาคนเดียวได้ โดยที่เพื่อนในทีมแต่ละคนก็จะมีนิสัยแปลกแบบเนิร์ดเฉพาะทางต่างกันไป ตัวเรื่องจึงไม่ได้เป็นแนวดราม่าวัยรุ่นอะไรมากตามสูตร แต่ในเรื่องก็ยังมีแทรกเข้ามาพอหอมปากหอมคอ

รีวิว Biohackers ซีรีส์วัยรุ่น Netflix ที่ไม่เล่นดราม่าชีวิต แต่โฟกัสไปที่การเจาะระบบพันธุกรรม 3

ดารานำในเรื่อง Luna Wedler ที่เล่นเป็นมีอา ใบหน้าดูสวยมีเสน่ห์ในแบบสาวเก่งวิทยาศาสตร์ ตัวบทให้เธอมีไหวพริบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีในแบบสายลับแฝงตัวไปพร้อมกัน ในขณะที่ตัวร้ายของเรื่อง ดร.ลอเรนซ์ (รับบทโดย Jessica Schwarz) ก็ดูสวยมีเสน่ห์ไม่แพ้กัน ซึ่งบทของเธอจะเป็นแบบคนวางแผนมากกว่าลงมือเอง และเรื่องนี้ไม่ได้เป็นซีรีส์วัยรุ่นที่มีพระเอกโดยตรง เป็นแค่คนรักในบทสมทบ เพราะเรื่องเน้นหนักไปที่ภารกิจการเจาะระบบของนางเอกมากกว่าอย่างอื่น ตัวเรื่องจึงเหมือนแค่ใส่บทคนรักไว้หลวมๆ ให้เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวพันกับการแก้ปัญหาของนางเอกในตอนท้ายของเรื่องเพียงเท่านั้น

รีวิว Biohackers ซีรีส์วัยรุ่น Netflix ที่ไม่เล่นดราม่าชีวิต แต่โฟกัสไปที่การเจาะระบบพันธุกรรม 4
ตัวเรื่องมีดราม่าเล็กๆ ของการที่นางเอกตั้งใจแฝงตัวหลอกใช้เพื่อนของพระเอก จนทำให้เกิดเป็นปมดราม่าเพื่อนรักผู้ชายสองคนหลงรักนางเอกทั้งคู่ขึ้น

ตัวเรื่องค่อนข้างกระชับโฟกัสไปยังการเจาะระบบของนางเอกจบได้ในซีซั่นแรกเพียง 6 ตอนสั้นๆ ตอนละ 30 กว่านาทีเท่านั้น และก็เคลียร์ปมต่างๆ ได้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนแรกกับเหตุการณ์บนรถไฟ และอดีตของนางเอกเกี่ยวข้องยังไงกับการทดลองของ ดร.ลอเรนซ์ ซึ่งแอบล้ำนิดๆ คล้ายคลึงกับ “เจสัน บอร์น” แต่ก็ยังยืนพื้นอยู่บนความเป็นไปได้ในปัจจุบัน ซึ่งเรื่องก็วางไว้ดีไม่เว่อร์เกินไป แต่ก็ทำให้ตอนท้ายเรื่องหลังเฉลยดูเบาไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในตอนเริ่มเรื่อง ก่อนจะไปจบปมในซีซั่นแรกและเปิดตัวร้ายใหม่ในซีซั่น 2 ซึ่งไม่ถึงกับค้าง และก็มีความน่าติดตามต่อพอสมควรเลย